เคล็ดลับการดูแลที่นอนเพื่อพิชิตโรคภูมิแพ้

รู้หรือไม่? ต่อให้ซื้อที่นอนมาแพงแค่ไหนก็อาจการันตีไม่ได้ว่าจะใช้ดี ทนทาน หรือปลอดภัยจากฝุ่นละออง ไรฝุ่น เชื้อรา และแบคทีเรีย ไปกว่าที่นอนถูก ๆ หากดูแลรักษาผิดวิธี!! วันนี้ ดี ไฮจีนิค ขอนำวิธีดูแลรักษาที่นอนมาฝาก เพื่อช่วยรักษาความคงทนของที่นอน และห่างไกลจากโรคภูมิแพ้กันค่ะ

1. ควรพลิกที่นอนกลับด้าน สลับหัวท้ายของที่นอน
อย่างน้อยทุกๆ 3 เดือน เพื่อเป็นการรักษาความคงตัวของ ที่นอนที่ดี ให้อยู่ในสภาพเดิมพร้อมใช้งาน ไม่ทำให้ด้านใดด้านหนึ่งเกิดการยุบตัวแบบถาวร แต่การทำแบบนี้สามารถจะใช้ได้กับที่นอนที่เป็นแบบนอน 2 ด้านเหมือนกันเท่านั้น แต่ในปัจจุบันนี้ที่นอนมีการพัฒนาหลายรูปแบบ ซึ่งจะมี 3 แบบหลักๆ ได้แก่
  • ที่นอนแบบที่ให้สัมผัสการนอนทั้ง 2 ด้านเหมือนกัน
  • ที่นอนแบบที่ให้สัมผัสการนอน 2 ด้านไม่เหมือนกัน คือที่นอนที่ด้านหนึ่งให้สัมผัสแน่น อีกด้านนุ่มแน่น
  • ที่นอนแบบที่นอนด้านเดียว ไม่ต้องพลิก เพราะผลิตมาเพื่อไม่ต้องกลับด้าน เรียกว่า Non-Flip Mattress
2. ไม่ควรยืนหรือกระโดดบนที่นอน
เพราะการทำงานของระบบสปริงนั้นจะทำงานเป็นวงกว้างไม่สามารถรับน้ำหนักของคน 1 คนได้เพียงสปริงไม่กี่ตัว เช่น เวลานั่งหรือนอนนั้น สปริงในการรับน้ำหนักเรานั้นจะอยู่ที่ 15-30 ตัวโดยจะช่วยพยุงร่างกายของเราไม่ให้จมตัวบนที่นอน ซึ่งจำนวนสปริงก็ขึ้นอยู่กับแบรนด์ รุ่น และจะผันแปรตามน้ำหนักกับขนาดตัวของผู้นอน
เมื่อยืนบนที่นอนสปริงในการรับน้ำหนักจะอยู่ที่ 2-6 ตัว และสปริงแต่ละตัวมีความหนาอยู่ที่ 0.9-2.4 มิลลิเมตรเท่านั้น แน่นอนว่าถ้ามีคนขึ้นไปกระโดดก็จะทำให้สปริงล้มหรือยวบลงมาได้ ฉะนั้นถ้าจะใช้ที่นอนสปริงอย่ายืนเหยียบหรือกระโดดบนที่นอน
3. แกะพลาสติกที่ใช้หุ้มที่นอนออก เพื่อให้อากาศในที่นอนถ่ายเท
ยังคงเป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก สำหรับผู้ที่เพิ่งซื้อที่นอนมา แล้วไม่แกะพลาสติกออกเพราะกลัวที่นอนจะเก่าเร็ว แต่รู้หรือไม่ การแกะพลาสติกที่หุ้มที่นอนออกจะทำให้ที่นอนมีความยืดหยุ่นมากกว่า ที่นอนที่ไม่แกะพลาสติกหุ้มถึงประมาณ 50-60% เลยทีเดียว อีกทั้งในขณะที่นอนจะทำให้เกิดเสียงน่ารำคาญ มีกลิ่นของพลาสติกกระจายรอบตัว และยิ่งทำให้ที่นอนร้อนมากกว่าปกติขึ้นอีก เพราะความร้อนจากร่างกายจะแผ่กระจายตัว เพราะพลาสติกไม่ช่วยในการระบายความร้อน อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองผิวมากขึ้นอีกและอาจสร้างความชื้นภายในตัวที่นอนได้ด้วย ซึ่งไม่เป็นผลดีเรื่องการระบายอากาศอย่างแน่นอน นอกจากนี้ถึงแม้จะยังไม่แกะพลาสติกออกแต่เพียงระยะเวลา 1-2 เดือนพลาสติกต้องฉีกขาดเพราะการใช้งานพลิกตัวไปมาตลอดทุกคืน ในที่สุดก็ต้องแกะออกในภายหลัง
4.หมั่นตรวจสอบฐานรองและขาตั้งให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อยู่เสมอเพื่อความปลอดภัย
ควรหมั่นตรวจสอบเตียงและฐานรองให้มีความสมบูรณ์อยู่เสมอ บางท่านอาจคิดว่านอนว่าไม่ดีเลยทำให้ปวดหลัง แต่จากสถิติ 4 ใน 10 คนมีปัญหามาจากฐานเตียงที่ส่งผลกระทบมาถึงตัวที่นอนและเรื่องการนอน เลยทำให้มีปัญหาเรื่องปวดหลังตามมา
4.หมั่นตรวจสอบฐานรองและขาตั้งให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อยู่เสมอเพื่อความปลอดภัย
ควรหมั่นตรวจสอบเตียงและฐานรองให้มีความสมบูรณ์อยู่เสมอ บางท่านอาจคิดว่านอนว่าไม่ดีเลยทำให้ปวดหลัง แต่จากสถิติ 4 ใน 10 คนมีปัญหามาจากฐานเตียงที่ส่งผลกระทบมาถึงตัวที่นอนและเรื่องการนอน เลยทำให้มีปัญหาเรื่องปวดหลังตามมา

ไรฝุ่น.. ภัยเงียบใกล้ตัว !!

ไรฝุ่นเป็นสัตว์ขนาดเล็กแบบเดียวกับพวกแมลง แต่มีขนาดเล็กมากจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ชอบอาศัยอยู่ในที่มืดและที่อับชื้น ชอบอาศัยอยู่บริเวณที่มีเส้นใยให้พวกมันเกาะ เช่น หมอน ที่นอน ผ้าห่ม พรม แต่ด้วยความที่พวกมันมีขนาดเล็กกว่าจุดของดินสอ เราจึงไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเครื่องใช้ต่างๆที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้มีไรฝุ่นอาศัยอยู่หรือเปล่า

รู้หรือไม่ว่า น้ำหนัก 10% ของหมอนที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป เป็นน้ำหนักของไรฝุ่นและมูลของมัน ซึ่งบ้านของคนทั่วไปแล้ว มีไรฝุ่นอยู่กว่า 2 ล้านตัวเลยทีเดียว เอาง่ายๆเฉพาะแค่ฝุ่น 1 กรัมก็มีไรฝุ่นอยู่ 500 ตัวแล้ว น่ากลัวใช่ไหมล่ะ และบริเวณที่มีไรฝุ่นมากที่สุดก็คือเครื่องนอนที่เราใช้นอนกันอยู่ทุกวันนี่เอง

ถึงมันจะแอบอยู่ในหลายซอกมุมของชีวิตเรา แต่ตัวไรฝุ่นไม่ได้มีอันตรายโดยตรง คือมันไม่ได้มากัดหรือปล่อยสารพิษใส่เราโดยตรงอย่างแมลงทั่วไป สิ่งที่อันตรายของไรฝุ่นก็คือมูลของมันนั่นเอง มูลของไรฝุ่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ โรคจมูกอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบ โรคผื่นแพ้ และโรคหืดอีกด้วย

ที่เล่ามาทั้งหมดนี่ไม่ได้อยากให้หวาดผวา แต่อยากชวนให้หันกลับมาดูแลความสะอาดภายในบ้านกัน โดยเฉพาะในห้องนอนซึ่งเป็นที่สะสมของไรฝุ่นจำนวนมาก เพราะแทนที่เราจะได้นอนหลับพักผ่อนให้เต็มอิ่มกลับกลายเป็นช่วงเวลาที่เราต้องเสี่ยงกับโรคต่างๆมากมายแทน

ที่นอนคุณเป็นแหล่งอาหารของไรฝุ่นอยู่หรือไม่!!

5 วิธีดูแลที่นอนให้ปลอดภัยไร้ไรฝุ่นกวนใจ
1. เปิดให้แดดเข้าถึงห้องนอน จัดพื้นที่ให้ระบายอากาศได้ดี หมั่นเอาที่นอนไปตากแดด
เนื่องจากไรฝุ่นนั้นไม่ชอบแดดอย่างมาก เบื้องต้นเราจึงควรเปิดม่านหรือเปิดหน้าต่างไว้ให้แดดส่องเข้ามาถึงทุกวัน รวมถึงเปิดให้ลมเข้าเพื่อถ่ายเทอากาศยามที่ไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศ สักอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง และที่สำคัญคือ ควรจะนำที่นอน หมอน ผ้าห่ม พรหม ออกไปตากแดดแรงๆ โดยเฉพาะแดดแรงๆของบ้านเรานี่แหล่ะ ตากฝั่งละ 3 ชั่วโมงขึ้นไป จะช่วยฆ่าไรฝุ่นและไข่ของไรฝุ่นได้มากเลยทีเดียว
2. เราซักที่นอนไม่ได้ แต่เราซักปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน และผ้าห่มได้
โดยการซักด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 60 องศาเซลเซียสจะช่วยกำจัดไรฝุ่นได้ ควรซักอย่างน้อยทุกๆ 1-2 สัปดาห์ และทางที่ดีควรเลือกซื้อที่นอน ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนที่มีคุณสมบัติป้องกันไรฝุ่นมาใช้ หรือเลือกใช้ผ้ากันไรฝุ่นคลุมบริเวณที่นอนเอาไว้ทุกครั้งที่ไม่ได้ใช้ โดยเลือกผ้าให้เหมาะกับขนาดของที่นอนเพื่อที่จะได้คลุมที่นอนได้ทั่ว เช่นที่นอน 5 ฟุตก็ต้องเลือกผ้าที่ใหญ่กว่านั้นอีก
3.  หมั่นดูดฝุ่นในห้องนอนของเราอย่างเสมอ
แต่ไม่ใช่ว่าเป็นเครื่องดูดฝุ่นอะไรก็ได้นะ ต้องใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มี HEPA Filter ซึ่งสามารถดูดและกรองไรฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าปล่อยให้มีฝุ่นเกาะที่นอนจนหนาเตอะล่ะ นอกจากนั้นก็ควรที่จะปัดฝุ่นบริเวณที่นอนหลังลุกและก่อนเข้านอนทุกครั้ง เพราะทุกๆครั้งที่เรานอน พวกเศษผิวหนังของเราก็จะร่วงหล่นอยู่เสมอ และเศษหนังเพียง 1 กรัมก็สามารถเป็นอาหารของไรฝุ่นจำนวน 1 ล้านตัวได้นานไปถึง 1 สัปดาห์เลยทีเดียว
4. ระวังการนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาร่วมเตียงด้วย
ผู้รักสัตว์หลายๆคนมีความรักและผูกพันกับสัตว์เลี้ยงของตัวเองมาก สามารถนอนร่วมเตียงกันได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วไรฝุ่นอาศัยอยู่ได้ด้วยอาหารจากเศษผิวหนังและรังแคของคน แต่อาหารที่ดีกว่าสำหรับไรฝุ่นก็คือรังแคจากบรรดาสัตว์เลี้ยงนี่เอง การนำสัตว์ขึ้นที่นอนด้วยจึงอาจจะเป็นไอเดียที่ไม่ดีนักสำหรับคนกลัวไรฝุ่นหรือคนที่เป็นภูมิแพ้
5. ลดพื้นที่สะสมของไรฝุ่นบริเวณที่นอนให้น้อยลงที่สุด
นอกจากที่นอน หมอน ผ้าห่ม ปลอกหมอน และผ้าปูที่นอนแล้ว ควรจะลดสิ่งอื่นที่ไม่จำเป็น แต่เป็นจุดสะสมที่ดีของไรฝุ่นออกไป อย่างเช่น ผ้าม่านและพรหม เพราะนอกจากจะเป็นบริเวณที่เหมาะในการสะสมตัวของเจ้าไรฝุ่นแล้ว ยังยากต่อการทำความสะอาดอีกต่างหาก

การดูแลที่นอน ไม่ใช่จุดประสงค์เพียงในเรื่องความสะอาดอย่างเดียว แต่ประโยชน์ที่สำคัญนั่นคือ เพื่อสุขภาพที่ดีของเราและคนใกล้ชิด โดยเฉพาะเด็กเล็ก หากเราไม่เริ่มจากการแก้ไขมลภาวะที่เป็นพิษจากสิ่งใกล้ตัวภายในบ้าน อย่างที่นอน ร่างกายเราก็จะอ่อนแอจากโรคภูมิแพ้ที่ไม่มีวันหายได้ “ดี ไฮจีนิค” ขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยคุณกำจัดไรฝุ่นออกไปจากที่นอนซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคภูมิแพ้

กระบวนการในการฆ่าเชื้อโรคและซานิไทส์เซชั่นที่นอนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล

1.ขั้นตอนการแยกอนุภาคฝุ่นออก​

ระบบจะใช้วิธีการสั่นสะเทือนด้วยคลื่นความถี่ระดับสูงไปยังที่นอน (Pulverization) เพื่อที่จะทำให้อนุภาคของฝุ่นและสิ่งสกปรกที่ฝังลึกอยู่ในที่นอนนั้นหลุดออกมา

2.ขั้นตอนการแยกสิ่งสกปรก​

การใช้สูญญากาศดึงเอาสิ่งสกปรกและสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก รวมถึงไรฝุ่นและมูลของไรฝุ่นที่มีสารก่อภูมิแพ้ ออกจากที่นอน

3.ขั้นตอนการฆ่าเชื้อโรค​

การฉายแสงรังสีอัลตร้าไวโอเล็ต Type C หรือ UV-C ชนิดเข้มข้น สามารถฆ่าเชื้อโรคทั้งหมด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4.ขั้นตอนการปกป้องที่นอนในระยะยาว

ในขั้นตอนสุดท้ายของระบบการซานิไทส์ ด้วยประสิทธิภาพของสเปรย์โปเตม่าที่นำเข้าจากประเทศเยอรมนี และยังได้รับสิทธิบัตรและการยอมรับในระดับสากล ฉีดลงบนพื้นผิวเพื่อการฆ่าเชื้อโรคพร้อมยับยั้งการเจริญเติบโตของไรฝุ่นอย่างต่อเนื่องและยาวนาน 2-3เดือน

“ดี ไฮจีนิค” บริการทำความสะอาดพร้อมฟื้นฟูสุขอนามัยแบบครบวงจร เพื่อประสิทธิภาพการนอนที่ดีขึ้น ด้วยนวัตกรรมจากประเทศเยอรมนี

“ดี ไฮจีนิค” 💚  ยืนหนึ่ง‼ ด้านบริการทำความสะอาดพร้อมฟื้นฟูสุขอนามัยแบบครบวงจร ด้วยนวัตกรรมจากประเทศเยอรมนี🇩🇪  ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล มีสาขาทั่วโลกกว่า 40 ประเทศ 👍
✅ บริการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรค ที่นอน พรม โซฟา ผ้าม่าน อันดับ 1 ของโลก ลิขสิทธิ์นำเข้าจากเยอรมนี
✅  ระบบและขั้นตอนที่ทันสมัย แห้งและปลอดสารเคมี 
✅ ได้รับการรับรองผลลัพธ์และความปลอดภัยจาก ECARF (องค์กรวิจัยโรคภูมิแพ้ยุโรป)
✅ มีบริการตรวจสอบปริมาณไรฝุ่น และสารก่อภูมิแพ้ฟรี หรือประเมินพื้นที่ก่อนให้บริการจริง
⠀⠀⠀

บทความที่เกี่ยวข้อง

Scroll to Top