De Hygienique ธุรกิจที่เกิดจากการต่อสู้กับโรคภูมิแพ้ของลูกสาว

Share

<De Hygienique X ลงทุนแมน>

De Hygienique

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าฝุ่น PM2.5 และ เชื้อโรคร้ายอย่างโควิด 19กลายมาเป็นอุปสรรคในการดำรงชีวิตของคนไทยหาก โควิด 19 คือ โรคที่มีความน่ากลัว ที่เห็นผลในระยะสั้น โรคภูมิแพ้ ก็เป็น โรคที่มีความน่ากลัวที่เห็นผลในระยะยาว และโรคนี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ หากเราไม่กำจัดที่ต้นตอของปัญหา

รู้หรือไม่ว่า หนึ่งในบริษัทในประเทศไทยที่พยายามคิดค้น และนำเข้า นวัตกรรมกำจัดเชื้อโรคต้นตอของการเกิดภูมิแพ้ มีชื่อว่า บริษัท ดีไฮจีนิค (De Hygienique) แล้วอะไรคือแรงบันดาลใจ ที่ทำให้ผู้ก่อตั้งบริษัท De Hygienique ต้องทุ่มเทกับการแก้ปัญหาโรคเรื้อรังนี้? เรื่องราวนี้เกิดจากลูกสาวของผู้ก่อตั้งบริษัท ที่เป็นโรคภูมิแพ้ในวัยเด็ก ถึงแม้ว่าจะพาไปรักษาในโรงพยาบาล หรือแม้กระทั่งดูแลการใช้ชีวิตประจำวันของลูก แต่เหมือนว่าทั้งหมดนี้จะไม่ได้ช่วยให้สุขภาพของลูกดีขึ้นเลย..ผู้ก่อตั้งบริษัทจึงได้เริ่มหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้อย่างจริงจังต่อมาเขาจึงค้นพบว่าสาเหตุของโรคภูมิแพ้มาจากสิ่งที่ใกล้ตัว และใช้เวลาอยู่กับเรา 1 ใน 3 ของ ชีวิต นั่นคือ ที่นอน ของเรานั่นเอง ที่นอน เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค และ ไรฝุ่น ที่เป็นจุดเริ่มต้นของ “โรคภูมิแพ้”จุดที่เป็นอุปสรรคสำคัญคือ เรื่องของการกำจัดไรฝุ่น ที่ไม่สามารถกระทำได้โดยใช้เพียงแค่ เครื่องดูดฝุ่นธรรมดา

เขาจึงได้ค้นหาเทคโนโลยี ที่จะมาช่วยเรื่องนี้จนกระทั่งพบกับ POTEMA บริษัทที่คิดค้นนวัตกรรมทำความสะอาด ด้วยระบบซานิไทส์ซิ่งจากประเทศเยอรมนี ซึ่งมีเครื่องมือ Acarex Test Kit ในการตรวจวัดสารก่อภูมิแพ้บนที่นอนทั้งยังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายและมีการเปิดสาขามากมายในยุโรป โดยเทคโนโลยีนี้ได้นำมาใช้กับ โรงแรมระดับ 7 ดาว เช่น Burj Al Arab, Conrad Centennial, Grand Hotal Esplanade Berkin และโรงแรมชั้นนำอีกหลายแห่ง หลังจากนั้น เขาจึงได้นำมาทดลองใช้งานจริงกับที่บ้านของตัวเอง ซึ่งผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจมาก เขาสามารถช่วยทำให้อาการของโรคภูมิแพ้ของลูกสาวดีขึ้น ประกอบกับการรักษาโรคกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็ออกมามีประสิทธิภาพมากขึ้น จนในที่สุด นวัตกรรม ที่สามารถช่วยเพิ่มระดับคุณภาพชีวิตของลูกสาว จึงพัฒนาจนมาเป็น บริษัท De Hygienique บริษัททำความสะอาดและกำจัดเชื้อโรคด้วยระบบซานิไทส์ซิ่ง ของประเทศไทย

หลังจากที่ก่อตั้งเป็น บริษัท De Hygienique แล้วเจ้าของบริษัทเอง ยังมีวิสัยทัศน์ ในการยกระดับการให้บริการให้ครอบคลุมทั้งหมด แบบ One Stop Service สำหรับการบริการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรค ให้ตอบโจทย์มากขึ้น เช่น พรม โซฟา ผ้าม่าน รวมถึงบริการพ่นควันฆ่าเชื้อโรค ซึ่งสามารถฆ่าโควิดได้แล้วทำไม บริษัท De Hygienique ถึงต้องเลือกนวัตกรรมการฆ่าเชื้อโรคด้วยระบบซานิไทส์ซิ่ง?ระบบซานิไทส์ซิ่ง ก็คือ การฆ่าเชื้อโรคแบบแห้งและปลอดสารเคมี 100% โดยเจาะลึกทำความสะอาดที่นอน และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ พร้อมเคลือบปกป้องทุกพื้นผิว รวมถึงรังสี UVC สามารถกำจัดแบคทีเรีย, ไวรัส รวมถึงไรฝุ่นเพื่อไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ได้อีกด้วยถึงตรงนี้ เราอาจจะตั้งคำถามว่า แล้วอะไรคือตัวกลาง ที่นำพาเทคโนโลยีฆ่าเชื้อนี้ เข้าไปจัดการกับเชื้อโรคได้อย่างทุกซอกทุกมุม?คำตอบคือ สิ่งที่ไร้รูปร่าง และสามารถเข้าถึงทุกนาโนโมเลกุล อย่างเช่น “ควัน” และควันในที่นี้ จะต้องปลอดภัยต่อมนุษย์ และสัตว์เลี้ยง ที่อาศัยอยู่ภายในบ้าน เมื่อ 2 สิ่งนี้มารวมกัน ก็จะก่อให้เกิดเป็นนวัตกรรมทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคได้แบบ 100%รวมถึง นวัตกรรมซานิไทส์ซิ่ง และบริการพ่นควันฆ่าเชื้อโรค (fogging service) ทีมีลิขสิทธิ์มาจาก บริษัท POTEMA ยังการันตีด้วยรางวัลใบเกียรติคุณจาก ECARF หรือองค์กรวิจัยโรคภูมิแพ้จากยุโรป นี่จึงเป็นเหตุผลหลักๆ ที่ผู้ก่อตั้งบริษัท De Hygienique เลือกใช้นวัตกรรมซานิไทส์ซิ่ง และนำเข้ามาเป็นเจ้าแรกในประเทศไทย นั่นเอง

สำหรับจุดสำคัญที่ทำให้ บริการฆ่าเชื้อของ De Hygienique มีความแตกต่างจากผู้ให้บริการเจ้าอื่น 1.การใช้น้ำยาออร์แกนิคสกัดจากธรรมชาติ เกรดอาหารและยา ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย 2.ด้วยกระบวนการฆ่าเชื้อที่ไม่ทำให้เกิดการฟุ้งกระจายของเชื้อโรค และ ไม่ต้องทำความสะอาดเช็ดถูพื้นที่ซ้ำอีกรอบ 3.การให้บริการฆ่าเชื้อโรคแบบแห้ง จึงพร้อมใช้งานได้ทันที 30 นาที หลังการให้บริการ 4.การตรวจวัดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ด้วย Acarex Test ทั้งก่อนและหลังให้บริการ

ซึ่งสิ่งที่สร้างความแตกต่างอย่างมากของ บริษัท De Hygienique คือ ทางบริษัทได้พัฒนาคุณภาพของการให้บริการ โดยเริ่มจากตัวบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ ในการทำความสะอาดฆ่าเชื้อ จะต้องได้รับการอบรมมาจาก โรงพยาบาลศิริราช เกี่ยวโรคภูมิแพ้และการดูแลระดับความสะอาด สิ่งเหล่านี้เองก็ได้ทำให้ บริษัท De Hygienique ได้รับความไว้วางใจสำหรับการให้บริการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคแบบมืออาชีพ กับบริษัทแบรนด์หรูในประเทศไทยหลายแห่ง เช่น Prada, Louis Vuitton, Cartier, Audi, BMW, King Power, Grand Hyatt, AP, Gulf, Plan B และแบรนด์ Hi End อีกมากมายและเรื่องราวทั้งหมดนี้ ทำให้เมื่อกลางปีที่ผ่านมา รู้ไหมว่า บริษัท De Hygienique มีส่วนแบ่งในตลาดทำความสะอาด บ้าน และอพาร์ทเม้นท์ เพิ่มมากขึ้นถึง 75% เลยทีเดียวสุดท้ายนี้ ท่ามกลางวิกฤติโรคร้ายที่เกิดขึ้นในตอนนี้ นอกจากการ ล้างมือ ใส่แมสก์ เว้นระยะห่างทางสังคม หลีกเลี่ยงการเข้าพื้นที่เสี่ยงแล้ว ก็ต้องอย่าลืมทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคในที่อยู่อาศัย ให้ถูกวิธีกันด้วย

References: https://www.facebook.com/113397052526245/posts/990478564818085/?d=n

Scroll to Top